วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เข้าใจความรู้สึกตัวเอง


สิ่งนึงที่ทำให้ฉันเข้าใจในความเป็นไปของความรู้สึกของตัวเอง..

คือการได้เห็นว่า คนที่อยู่ข้างๆตัวฉันแต่กลับทำให้ฉันรู้สึกห่างเหิน ไม่รับรู้หรือรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ รู้สึกสามารถผละออกจากกันได้แทบตลอดเวลา หากมีอะไรมากระทบกระเทือนความสัมพันธ์ของเรา จนความไม่แน่นอนในความสัมพันธ์ของเรากลายเป็นความแน่นอนไปแล้ว กับอีกคนที่อยู่แสนไกลเกินเอื้อมถึง ทำไมหัวใจมันรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของๆหัวใจ คนหนึ่งที่อยู่ข้างตัวมีข้อผูกมัดทุกอย่างตามกฎหมาย สังคม แต่ใจกลับรู้สึกเป็นอิสระจากสิ่งผูกมัดเหล่านี้ รู้สึกและรับรู้ด้วยความเจ็บปวดจนเลิกเจ็บ หวาดระแวงจนปล่อยวาง สละละพร้อมไปได้ทุกเวลาหากมีอะไรเกิดขึ้น ไร้ความผูกพัน ไร้ความกังวล ดูเหมือนถ้าเราปล่อยกันและกันไป ฉันอาจจะสบายใจมากกว่านี้ที่ต้องทนรับความหวาดระแวงไร้ความสุขอยู่อย่างที่เผชิญอยู่ โดยเฉพาะเวลาที่มีเรื่องระคายหัวใจฉันจากส่วนเกินในชีวิต

หันกลับมามองที่อีกคน ฉันกลับไม่คิดถึงหรือหวาดระแวงเรื่องส่วนเกินรอบข้างเค้าเลยถึงแม้เค้าจะมีคนล้อมหน้าล้อมหลังมากมาย เพราะฉันรู้ว่าเค้ารักฉัน และเท่านั้นมันเพียงพอแล้วจนคนอื่นรอบข้างไม่มีความหมาย คำพูดของเค้าฉันไม่จำเป็นต้องเชื่อเพราะฉันรู้ว่ายังไงๆเค้าก็คือคนที่ชั้นยอมลงให้เสมอ รักของเราไร้ข้อแม้ มันเชื่อมกันด้วยความไร้พันธะ มันคือความบริสุทธิ์ ฉันไม่เคยกลัวคนอื่นมาเอาเค้าไป แต่สิ่งที่ฉันกลัวคือใจเค้าเองต่างหากที่ไม่มีวันคาดเดาได้ว่า เค้าจะหลีกลี้หนีฉันไปตอนไหน จนคนอื่นไม่มีความหมายพอที่จะให้ฉันเป็นห่วงและหวาดระแวงเลย

คนสองคนทำให้ฉันได้มองเห็นความแท้จริงของความเหมือนที่แตกต่างคนละขั้ว สิ่งที่เค้ามีเหมือนกัน คือ เค้าสองคนไม่เคยทำให้ฉันสบายใจเมื่อมีเค้าอยู่ในชีวิต ทั้งๆที่ต่างคนต่างเป็นคนที่ฉันรักและคนที่ต้องรัก คนนึงทำให้ไม่มีความสุขด้วยการหวาดระแวงเค้าออกไปหาคนรอบข้าง อีกคนทำให้หวาดระแวงว่าเมื่อไหร่เค้าจะดราม่าแล้วหนีไป ดูแล้วทั้งสองคนไม่มีใครทำให้ฉันมีความสุขได้เลย บางทีฉันก็นั่งคิดเล่นๆ เหมือนเค้าต่างคนต่างดิสเครดิตกันและกัน ให้ต่างคนต่างต้องเป็นแบบนี้กับฉัน ไม่มีใครได้ฉันไปโดยที่จะมีความสุขไปกว่าอีกคน เค้าคิดถึงแต่ตัวเองกันนะ มีใครคิดถึงฉันบ้างมั้ยว่าฉันก็ต้องการมีความสุขเหมือนกัน มนุษย์จะต้องการอะไรมากไปกว่าความรักที่เพียงพอในกันและกัน จะมีอะไรมากไปกว่านี้อีก

เราสามารถที่จะวัดความรู้สึกในหัวใจตัวเอง ได้จากคนที่อยู่รอบข้างนี่แหละ จะไปหาที่อื่นทำไม

แล้วคุณล่ะ..เคยมีความรู้สึกแบบนี้บ้างไหม..

การเคยมีความรักและความรักนั้นลอยเวียนอยู่ในหัวใจไม่ใช่ความผิด แต่มันจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีมลทินทันที ถ้าเราให้ความรักที่ยังวนเวียนนั้นมาทำร้ายคนอีกคนที่เราต้องดูแลและรับผิดชอบชีวิตของเค้า และนี่คือสิ่งที่ฉันไม่เคยคิดจะทำ ถึงแม้มีโอกาสไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง ฉันทำให้คนที่อยู่ข้างๆฉันไว้วางใจในความรักของฉันเสมอ เพราะเค้าคือคนที่สมควรที่ต้องได้รับ เค้าคือของขวัญจากพระเจ้า บางครั้งคนที่คุณคิดว่าไม่ใช่ อาจเหมาะกับคุณและเป็นคำตอบชีวิตทั้งหมดที่คุณเป็น มากกว่าคนที่คุณคิดว่า..ใช่เลย

ในบทต่อๆไป คุณอาจได้รับรู้ว่าทำไมฉันถึงพูดเช่นนี้ ก่อนอื่น ฉันเองขอบอกกับผู้อ่านที่ติดตามว่า หากคุณอ่านมาถึงที่ตรงนี้ ฉันเองขอเป็นกำลังใจให้คุณและร่วมเดินทางไปกับชีวิตของพวกคุณ ด้วยหนึ่งกำลังใจที่นี่ คุณไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก ยังมีสิ่งงดงามมากมายที่อยู่รายล้อมคุณ มันอาจทำให้คุณเห็นได้ แค่เพียงลองปรับวิธีคิดแค่นิดเดียว 

เพื่อนของฉันคนหนึ่ง เธอเป็นเพียงคนที่คิดปรับใช้ความสุขกับชีวิตตัวเองไม่เป็นแค่นั้นเอง แต่เธอกลับรู้สึกว่าเธอไม่มีอะไรดีไปซะทุกอย่าง คนอื่นดีกว่าหมด มันคุ้มแล้วเหรอ กับชีวิตที่แสนล้ำค่าของคนๆหนึ่งต้องมาถูกกักขัง ด้วยความคิดด้านลบของตัวเองแม้เพียงกุญแจดอกจิ๋วๆ ดอกเดียว..ว่ามั้ย

บางครั้งการที่เราให้เวลากับตัวเองและความสัมพันธ์ของเรามากขึ้น ใช้เวลาตรึกตรองกับมัน เราจะพบความสว่างในความสัมพันธ์ ความเข้าใจที่เกิดขึ้นได้ด้วยปัญญา ดีกว่าการที่ปล่อยให้มันผ่านไปและเดินหนี หลีกเลี่ยงมันเพราะกลัวการเผชิญหน้ากับความู้สึกตัวเอง และปัญหาที่คาราคาซังที่อยู่ในหัวใจก็ไม่ได้รับการเยียวยาซักที แล้วก็เครียดว่าทำไมชีวิตชั้นถึงเดินวนกลับมาที่เดิม ความไม่สุขที่เดิมๆ เพราะไม่อ่านหัวใจตัวเองอย่างแท้จริง

ออโต้ที่ตอบโต้กลับต่อสถานการณ์ต่างๆเป็นเช่นไร ไปในทิศทางไหน??

ดูเหมือนออโต้ของฉันจะเป็นการเอาออกจากตัวนะ ชอบเสียสละเกินไป (ซึ่งนั่นไม่ใช่ด้านบวกของชีวิตเลยจริงๆ..เชื่อสิ) ยอมรับความอันตรายก่อนได้อย่างง่ายดาย มันดูไม่ใช่สิ่งที่ต้องใช้สมองคิดเลย มันออกมาเองตามธรรมชาติ ถ้าหากมีสิ่งอันตรายอยู่ตรงหน้า สิ่งที่ฉันจะทำ คือให้คนอื่นหนีไปก่อน ฉันจะเป็นคนล่อมันทางนี้เอง หากมีใครมาทำร้ายคนรอบข้างฉันโดยเอาคนเหล่านี้เป็นเครื่องมือ สิ่งที่ชั้นจะทำทันที คือยอมเลย วางเลย ไม่มีการต่อรองใดๆทั้งสิ้น แค่คนอื่นไม่บาดเจ็บหรือเดือดร้อนเพราะฉัน เท่านี้ดูพอแล้วสำหรับฉัน แต่ถ้ามันเป็นการต่อสู้ของฉันกับมารในการเดินทางไปข้างหน้าเพื่อสิ่งที่ดีกว่า ฉันเองก็เลือดเย็นและเย็นชามากพอที่จะมองดูคนรอบข้างที่ตกเป็นเครื่องมือถูกทำร้าย โดยให้อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเมตตาเท่านั้น อินชาอัลลอฮ์ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะในบางเวลาที่เราพยายามที่จะทำอะไรบางอย่างที่ดีๆกับชีวิตตัวเอง หลายต่อหลายครั้งที่มารมาสร้างบ่อนทำลายความสุขของเราด้วยการใช้คนรอบข้างเราเป็นเครื่องมือ เราทุกคนต่างต้องเอาชนะความชั่วร้ายในจิตใจของตัวเองทั้งนั้น และเมื่อฉันรู้ว่า นี่คือบททดสอบ ฉันจะวางการเสียสละไว้ชั่วครู่ และจะร่วมทำบททดสอบไปพร้อมๆกับพวกเขาคนรอบข้าง โดยใช้สติ นิ่ง สงบ .. ได้ผลเสมอ เพราะคนที่พูดมากๆ จะเปิดโอกาสพลั้งเผลอได้มาก คนที่สงบและตั้งใจฟังและพูดเมื่อถึงเวลา เรื่องจะจบง่าย และเร็วกว่าที่เสียเวลามาเถียงกันว่าใครถูก

รู้ไหม ถูกและผิด.. ไม่มีจริงบนโลกนี้ โลกนี้ถูกประกอบขึ้นด้วย กฎแห่งสภาวะ.. เท่านั้น ทุกอย่างจะเดินไปตามกฎ ถึงแม้จะต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม คุณขว้างหินขึ้นฟ้า มันจะตกลงมาโดนหัวคุณ ถ้าคุณหลบไม่ทัน.. ความดีจะชนะความชั่ว เพราะมันถูกสร้างมาเช่นนั้น..เพราะนี่คือกฎสภาวะ เรื่องถูกผิด เป็นเพียงเรื่องทัศนคติ และการทำตามกันมา การกระทำสิ่งเดียวกันในสภาพแวดล้อมและในเวลาที่ต่างกัน ย่อมถูกและผิดในตัวของมันเองเลยตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้น มันควรแล้วหรือ ที่เราจะตัดสินใครว่าถูกหรือผิด แค่ด้วยทัศนคติของเรา แต่หากเราตัดสินด้วยกฎสภาวะ นั่นย่อมคงที่และแน่นอนมากว่า.. ด้วยเช่นนี้ การมองสถานการณ์ต่างๆ ด้วยพื้นฐานตามความเป็นจริง โดยวางความต้องการของเราเข้าไปเกี่ยวข้องย่อมเป็นสิ่งสำคัญ และผลของมันจะเป็นประโยชน์ทั้งตัวเราและตัวเขาโดยสมดุล..

อ่านมาถึงตรงนี้ ลองมองกันไหม ว่าคุณล่ะ มีออโต้แบบไหน..??

ส่วนฉัน ฉันรู้ว่าสถานการณ์ไหนที่ฉันต้องยอม และสถานการณ์ไหนที่ฉันควรนิ่งเฉย และพยายามให้นัฟซูเข้าถึงความดี เพราะการอยู่ในความดีคือความปลอดภัย มันเป็นสัจธรรม คนเราจะมีนิสัยยังไงก็ได้ แต่ทุกๆนิสัยสมควรที่จะต้องถูกปรับและกรอบตัวเองไว้ในความดี เพราะความดีคือรากฐานของวิญญาณของทุกคน ตั้งแต่เด็กจนโต คนเราจะค่อยๆพัฒนานิสัยที่เป็นตัวเองมากขึ้น ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งที่เติบโตเต็มที่ คนๆนั้นจะเริ่มถามตัวเองว่า “ชีวิตฉันต้องการอะไร ควรเดินไปทางไหนที่เหมาะสมกับฉันที่สุด” เมื่อไรก็ตามที่คำถามนี้เกิดขึ้นในใจมนุษย์คนใด แสดงว่าเค้าพร้อมแล้วที่จะเป็นตัวเองที่ดีที่สุด เป็นของขวัญของโลก และเป็นของขวัญของชีวิตตัวเอง เพราะกล้าที่จะลุกขึ้นมารับผิดชอบกับชีวิตตัวเอง เหนือกว่าการทำตามคนอื่นๆ และไหลไปตามกระแส

ส่วนตัวฉันเอง ยอมรับตัวเองได้ว่า ยังไม่ใช่คนดี แต่เป็นเพียงคนๆหนึ่งที่พยายามรักษาความดีที่มันยังมีอยู่ในหัวใจ ให้ความดีที่มีมันดำรงชีวิตอยู่ในหัวใจของฉันไปเรื่อยๆ พยายามทำอะไรในชีวิตให้มันเป็นประโยชน์ต่อตนเองและคนรอบข้าง เริ่มจากแบบนี้ ดูง่ายกว่าเยอะ..ไม่ต้องติดดี เพราะเมื่อฉันเริ่มตระหนักว่าตนเองเป็นคนเช่นไร มีอะไรติดในหัวใจที่ทำให้หัวใจหม่นหมอง ฉันจะพยายามเข้าใจมันและปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ในการดำรงชีวิตอยู่กับนิสัยด้านนี้ของตัวเองให้เรามีความสุขได้และไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร..สบายๆ

มีคนเคยบอกฉันว่า เมื่อไรก็ตามที่ใครคนหนึ่งสามารถทำงาน หาเลี้ยงชีพตัวเองได้แล้ว รับผิดชอบชีวิตตัวเองได้แล้ว นั่นหมายถึงเค้าก็พร้อมที่จะมีครอบครัวและรับผิดชอบชีวิตคนอื่นได้เช่นกัน ไม่ว่าเค้าคนนั้นจะอายุเท่าไรก็ตาม ไม่ว่าจะอายุ 17 หรือ 70 หากเค้าสามารถที่จะลุกขึ้นมารับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ เค้าก็สามารถที่จะรับผิดชอบชีวิตคนรอบข้างได้เช่นกัน เพราะความรับผิดชอบเช่นนี้เป็นวุฒิภาวะแห่งการอยู่รอดและความเป็นผู้ใหญ่ มันวัดกันได้ตรงนี้ บางคนแก่แต่อายุไม่สามารถรับผิดชอบได้แม้กระทั่งตัวเอง ทั้งไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้ผู้อื่น คนที่มีชีวิตแบบนี้ เป็นคนที่น่าสงสาร เพราะหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอ คิดไม่เป็น สิ่งที่ตัวเค้าเองสามารถทำได้คือ ฝึกความมั่นใจในตัวเองจากสิ่งเล็กๆ และอาศัยคนใกล้ชิดในการให้กำลังใจกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ แม้เพียงน้อยนิด คุณเองก็ควรเป็นคนหนึ่งที่พร้อมจะให้กำลังใจคนรอบข้างแม้เพียงรอยยิ้ม เพราะหากคุณไม่ให้กำลังใจใครเลย วันหนึ่งคุณเองจะถูกสอนโดยธรรมชาติให้รับรู้ถึงความสำคัญของกำลังใจ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะกำลังใจ คือความเมตตา ความเป็นที่ชื่นตา ความเป็นที่ชื่นใจ ซึ่งแม้แต่ตัวเราเอง เราก็โหยหามัน ถามตัวเองสักครั้ง ครั้งสุดท้ายที่คุณมีความชื่นตาชื่นใจ มันเมื่อไรนะ นานแค่ไหนแล้วที่หัวใจห่างไกลจากความชื่นใจที่แท้จริง

น่าสนใจนะ..คำตอบนี้ ว่าไหม..

สิ่งหนึ่งที่ฉันปรารถนาที่จะให้ตัวเองทำ คือการพูด “ไม่” กับผู้อื่นบ้าง เพราะมันคือการให้คำว่า “ใช่”สำหรับตัวเราเอง ฉันมองเห็นตัวเองว่า ฉันควรที่จะรักษาสมดุลของการดำรงชีวิตที่ให้พื้นที่ตัวเองให้มีความสุขด้วย ไม่ใช่การเห็นคนอื่นมีความสุขคือความสุขของตัวเองอย่างเดียว นั่นคือการแย่งซีนความสุขเอาของคนอื่นมาใช้โดยที่หาความสุขของตัวเองไม่เจอ ก่อนอื่นคงต้องแบ่งพื้นที่ให้ตัวเองได้ยอมรับก่อนว่า ตัวเราเองก็ควรมีพื้นที่ของความสุขเช่นกัน อาจลองก่อนไม่มากถ้าไม่ค่อยเคยชิน ลองก่อนซักหนึ่งในร้อยส่วน มันไม่มากนะ เพียงแค่นี้ที่ให้ตัวเองไม่ได้ทำให้พื้นที่ความสุขของผู้อื่นมันลดน้อยลงหรอก 

ลองบริหาร  ส่วนนี้ดูว่ามันจะทำความสุขให้เราได้แค่ไหน  วันมี ๒๔ ชั่วโมง ๑ ใน ๑๐๐ ของ ๑ วัน คือ ๑๕ นาที ในการเริ่มให้เวลาตัวเองเป็นของเราอย่างแท้จริง ดื่มด่ำกับความสุขที่เป็นของเรา ณ ชั่วเวลานี้ให้เต็มอิ่ม ลืมผู้อื่น ลืมการให้แก่ใคร ให้เพียงแค่ตัวเอง เพียงแค่วันละ ๑๕ นาที จงมองดูมันว่ามันทำให้เราเป็นยังไง หัวใจและความรู้สึกที่แสดงออกมาเป็นยังไง รู้สึกกับมันยังไง พฤติกรรมเปลี่ยนไปยังไง มีอะไรที่ต้องการปรับปรุงแก้ไขและเพิ่มเติมหรือตัดทอนออกไปบ้างไหม ต้องเพิ่มอะไรถึงจะอิ่มและพอ ตัดส่วนเกินอะไรออกไปถึงจะรู้สึกสบายตัว สบายใจขึ้น

แล้วคำว่า ไม่ และคำว่า ใช่ สำหรับคุณ ทำให้ชีวิตของคุณสมดุลเช่นไร..มันเกิน หรือมันขาด ??





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น