วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ตัวบั่นทอนความสุข..และความสำเร็จในชีวิต


เรารู้สึกเสมอว่า เงินที่เราต้องการมันมักจะไปได้ หรือปรากฎกับคนรอบข้างเรา เช่นเราต้องการเงินจำนวนหนึ่ง ครอบครัวก็จะขายที่ได้ เราหวังเงินจำนวนไหน ก็จะได้จำนวนนั้น แต่...มันไม่ใช่ของๆเรา คนในครอบครัวเอาไปหมด คนอื่นเอาไปหมด มันมาถึงมือเราน้อยมาก ทั้งๆที่เรารู้ว่ามันมาจากเราและเราทำให้มันมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเราไม่ได้

 อย่างสามี เค้าได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นป็นเท่าตัวเมื่อเราแต่งงานกัน อัลลอฮ์ทรงประทานริซกีนี้ให้เพื่อเอามาเลี้ยงดูเรา แต่เงินจำนวนจริงๆที่อยู่ในมือเราเป็นตัวเงิน มันไม่มีจริง แต่มันคือการเลี้ยงดูได้กินได้ใช้ ไม่เดือดร้อน กับครอบครัวเราด้วย เค้าได้เงินของเราไป และเราก็ไม่มีงานทำ เค้าก็ต้องใช้เงินนั้นแหละมาเลี้ยงเรา หรือช่วยเรา แต่ดูส่วนใหญ่ พอเงินที่ได้มา พวกเค้ามักเอามันไปใช้ในทางเสื่อมและละลายหายไปหมด สุดท้ายก็ไม่เหลือ สามีเราก็เหมือนกัน ไม่เหลือ แถมยังเกือบเป็นหนี้เพิ่มอีกต่างหาก 

บางครั้งเราก็อดคิดไม่ได้ว่า เพราะพวกเค้าเลี้ยงเราไม่สมกับที่ได้เงินไปรึป่าว หรือเพราะตัวเราเองทำตัวไม่อยากได้อะไร จนเกินไป เพราะเราไม่ขอ ไม่ใช้อะไรมาก และเงินทั้งหลายก็ถูกนำไปใช้อย่างไร้ความเจริญ แต่พอเราอยากได้มันมาเป็นของเราเอง เป็นกรรมสิทธิ์ของเราเอง มันกลับมีปมบางอย่างที่ทำให้เราปฏิเสธการเป็นเจ้าของในมัน 

เคยฝันว่า ใครบางคนบอกเราว่า ถ้ายอมแต่งงานกับเค้า สมบัติที่เป็นของเราที่เค้าดูแลอยู่ เราจะได้หมดเลย แต่เราปฏิเสธ ดูเหมือนเพราะเราไม่ได้รักและไม่ชอบวิธีการแบบนี้ที่ใช้เงินเป็นเงื่อนไขในการกรอบขังเอาตัวเราไว้ อาจเป็นสิ่งนี้ที่ปิดกั้นชีวิตเราให้ไม่ยอมให้ตัวเองมีเงิน หรือทำงานเพื่อให้ได้เงินเป็นของตัวเอง

เรามองเห็นตัวเอง สามารถทำงานได้เพื่อคนรัก โดยที่ไม่เรียกร้องเงินทองตอบแทน ขอแค่มีข้าวกิน มีที่นอนอุ่นนอน ก็เพียงพอแล้ว ทั้งๆที่เราเป็นคนมีความสามารถ แต่เพราะอีกใจนึงของเรา ก็ต้องการได้อะไรตอบแทนกลับคืนเป็นของเราเองด้วย เราถึงเลือกที่จะไม่ทำงานเลยเพื่อจะได้ไม่ต้องเอาเวลาและเงินของเราไปให้ใครอีก .... 

นี่คือสิ่งที่ต้องเยียวยา****

.. เราเป็นคนให้แบบทุ่มสุดตัว ไม่เหลือให้ตัวเองเลย เอาไปให้หมดแล้วดูเค้าว่าเค้าจะทำยังงัยกับชีวิตเรา ใช้ทั้งชีวิตซื้ออีกชีวิต ถ้าไม่ดีก็พอและเดินจากมาโดยที่ไม่เอาอะไรมาเลย แล้วเริ่มต้นใหม่ เราก็ทำแบบเดิม กับสามีเราก็ทำแบบเดิม ทุ่มให้หมดตัว หมดใจ และดูว่าเค้าจะทำยังงัย และวางผลเอาไว้เลยว่า ถึงเค้าไม่ดี ก็เอาไปเลย และเราก็จะไปโดยที่ไม่เอาอะไรไปอีกตามเคย เราเห็นตัวเองและให้คำตอบกับความสัมพันธ์ตั้งแต่แรกเริ่ม หากมีอะไรเกิดขึ้น เดินจากไปและจะไม่หันหลังมามองอีกเลย กับคนเก่า เค้าก็ได้เงินจากความปรารถนาของเราไปมาก แต่เค้าก็ให้เราแบบพออยู่พอกิน เลี้ยงแบบไม่ให้ไปไหน ชักหน้าไม่ถึงหลัง ถามว่าได้กินมั้ย..ได้ มีบ้านอยู่มั้ย..มี สุขสบายมั้ย..ก็ไม่ลำบากอะไรมาก อยู่ได้

มีความสุขมั้ย..ไม่เคย ไม่มีและเลิกรักไปนานแล้ว และกับสามีเราก็รู้สึกว่าเรามีความสุขเพิ่มขึ้นมาอีกค่อนข้างมาก แต่เราก็ไม่มีงานและเงินของตัวเองอยู่ดี .... 

นี่คืออีกสิ่งที่ต้องเยียวยา ****

แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็น เราได้รับการส่งต่อนิสัยนี้มาจากพ่อ.. พ่อมอบชีวิตทั้งชีวิตให้แม่ เทหมดหน้าตัก ถ้าดีก็อดี ไม่ดีก็ช่างมัน ไปหาเอาข้างหน้า หากเราจะเยียวยาตัวเอง เราต้องเข้าใจในสิ่งที่พ่อเป็นก่อน และถึงจะมาละลายพฤติกรรมซับซ้อนนี้ 

พอถึงตอนนี้ เรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีบ้านให้กลับ ถ้าสามีทำให้เราต้องจากเค้าไป เราก็ต้องหาทางในหนทางที่ต้องอยู่ตามลำพังให้ได้ เพราะพ่อไม่ให้เรากลับบ้านแล้ว เค้าต้องการให้เราหางานมีเงินเลี้ยงดูเค้ายามแก่เฒ่า และเราต้องทำเพราะนั่นคือ คำขอของพ่อ เราไม่มีที่ให้กลับ ชีวิตเรามีแต่เดินหน้าอย่างเดียว 

หากสามีเลือกให้เราต้องวางเค้า เราก็ต้องหาหนทางเดินไปข้างหน้าที่อยู่ในกรอบของศาสนาของเราอย่างดีที่สุด พร้อมทั้งหาเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวที่ยินดีให้เราอยู่นอกบ้านมากกว่าที่อยู่บ้านและกอดคอกันตาย จริงๆ ก็ไม่กอดคอกันตายหรอก ถึงไม่มีเรา เราก็รู้ว่าพวกเค้าอยู่กันได้ แต่เค้าแค่ต้องการให้เราเป็นหลักที่พึ่งได้หากมีอะไรฉุกเฉินเกิดขึ้นเท่านั้นเอง และนี่ก็เป็นสิ่งที่กันเราให้ออกห่างจากบ้านโดยปริยาย เพราะการที่เราอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ทำงาน เค้าทนดูลำบากเพราะเค้าส่งเสียให้เราเรียนเพื่อให้เราทำงานมีชีวิตได้ ถึงเราดูแลตัวเองได้ เค้าดูแลตัวเองได้ แต่ไม่ใช่มาอยู่บ้านเค้าเฉยๆแน่ ไม่ใช่หนทางของเราที่มีในครอบครัวนี้ และเราก็มองอีกอย่างว่าก็ดีแล้ว เพราะเราเองก็ต้องการที่จะมีชีวิตของเราเองเหมือนกัน 

แม้แต่ความฝัน เรายังฝันว่าเราแต่งงานอยู่บนตึกสูง แต่คนในครอบครัวเราก็ยังมาตามให้เราลงไปข้างล่างเพื่อช่วยเค้าใช้หนี้ แต่สิ่งที่เราตอบเค้าไป เราเพียงตอบว่า เราเหลือเงินอยู่เท่านี้ เราให้หมดเลย และเรารู้ว่ามันไม่พอที่เค้าต้องการ และเราทำตามที่เค้าต้องการไม่ได้ `เพราะสิ่งนี้อาจทำให้เราเหนื่อนหน่ายกับการที่จะต้องทำงานหรือมีความสัมพันธ์กับใคร ไม่รู้นะ เพราะเค้าเคยไปขอยืมเงินคนเก่าของเรา จนทำให้เค้าด่าเราถึงโคตรเหง้า และเป็นอีกสาเหตุที่เราหมดรักผู้ชายคนนั้นไม่มีเหลือเลย บางทีเรารู้ มันไม่ใช่ความผิดของเค้าทั้งหมด คนในครอบครัวเราเปิดโอกาสให้เค้าด่าและดูถูกเราเอง และเค้าก็ยังหวังจะทำแบบนี้กับความรักและการแต่งงานของเราในครั้งนี้อีก แต่ก็ยังดีที่เค้าสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง เราก็รอดตัวไป แต่ก็ไม่รอดทั้งหมดหรอก เค้าก็ยังหวังเป็นอย่างมากที่จะให้เราหาทางล้างหนี้ให้ทั้งหมด เค้าจะได้มีชีวิตที่มีความสุขซะที และเราก็อดคิดไม่ได้ว่า ถึงจะทำได้จริง มันจะหมดจริงเหรอ มันจะจบจริงๆเหรอ...

นี่คืออีกอย่างที่ต้องเยียวยา***

เราคิดว่า ไม่ใช่แค่เราหรอกที่มีปัญหาแบบนี้ มีคนมากมายที่มีปัญหาแบบเดียวกัน หากแต่เราเองเป็นเพียงคนหนึ่งที่พยายามจะเข้าใจกับปัญหานี้ และพยายามแก้ไขมัน หากวันหนึ่งที่มันสำเร็จ เราก็อาจได้นำมาแบ่งปันให้แก่คนอื่นๆ เพื่อให้เค้าได้เป็นอิสระจากปัญหาพวกนี้ เหมือนที่เราแก้ได้บ้าง..เท่านั้นเอง

อินชาอัลลอฮ์

อีกสิ่งหนึ่งที่เราเห็นมันอย่างชัดเจนว่าต้องการการเยียวยาอย่างลงลึกถึงจิตใต้สำนึก หรือลงลึกไปในจิตวิญญาณคือการที่เราไม่ยอมอนุญาตให้ตัวเองกินของดี ใช้ของดี ถึงแม้เราจะซื้อโลชั่นยี่ห้อดีๆแพงๆมา แต่เราจะไม่ใช้มัน ดูเหมือนจนกว่ามันจะหมดอายุ หรือใกล้จะเสีย เราซื้อเค้กน่าอร่อยมาก แต่แช่ไว้ในตู้เย็นจนมันใกล้จ้ะเสียถึงจะเอามากิน เราซื้ออาหารเสริมมา ก็จะไม่กินเลยแต่จะรอให้มันหมดอายุไปแล้ว แล้วเอามากิน 

เห็นชัดเจนว่า จิตใต้สำนึกรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าพอที่จะกินของดีๆ อนุญาตให้กินได้เฉพาะของที่เสียแล้วหรือใกล้จะเสีย มันคือการมองคุณค่าในตัวเองและปล่อยกระแสนั้นออกไปด้วย ว่าเรามีค่าแค่นี้นะ แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับคนอย่างเรา 

การเยียวยาจิตใต้สำนึกแบบนี้ จำเป็นต้องอาศัยสติที่เข้มแข็ง นั่งลงและหลับตาและมองลึกลงไปในหัวใจ ในความคิด ลองตั้งใจเอาสิ่งมีค่าสักอย่างมาวางตรงหน้าแล้วบอกว่ามันเป็นของเรา แล้วดูปฏิกิริยาโต้กลับ ว่าคำตอบเป็นเช่นไร วิธีการนี้จะทำให้เราค่อยๆ เข้าใจตัวเองมากขึ้น อินชาอัลลอฮ์

ขั้นตอนต่อไป.. เลือกของมาอีก มีค่ามากขึ้นไปอีก และบอกว่า ของชิ้นนี้จะกลายเป็นหินธรรมดาหากอยู่ในมือคนอื่นที่ไม่ใช่เรา จะกลายเป็นทองเมื่ออยู่ในมือเราแต่เพียงผู้เดียว เพราะอะไรนะเหรอ.. เพราะมีเพียงเราเท่านั้นที่มีค่าคู่ควร และลองมองอาการตัวเอง แล้วจะมองเห็นเพิ่มมากขึ้น ว่าตัวเองคิดกับตัวเองยังไง กับโจทย์แบบนี้

ลองทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ อินชาอัลลอฮ์ และลองถามตัวเองว่า ทำไมถึงต้องเป็นเราที่มีค่าคู่ควรกับสิ่งนี้ และจงตอบตัวเองว่า แล้วทำไมต้องเป็นคนอื่นล่ะ..

ลองดูนะ.. เราว่าสำหรับเรามันได้ผล

อินชาอัลลอ ขอให้มันได้ผลสำหรับทุกคนด้วย อามีน

อีกอย่าง เมื่อมามองถึงสิ่งบั่นทอนที่เกิดขึ้น ในข้อเสียมันก็มีข้อดีอย่างนะ เพราะมันทำให้เราเป็นคนที่เรียนรู้การฝึกปฏิบัติแบบสมถะเป็น อยู่ในป่าได้สบายๆ ไม่ชอบเตาแก๊สแต่ชอบใช้เตาถ่าน และถากเสี้ยนใช้เอง แต่เราเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เวลาเราทำอะไรแบบนี้ เช่นนั่งถากเสี้ยน เราจะปวดหลังมาก และอย่างเวลาเราไปล้างจานแล้วนั่งกับพื้นยองๆ ก็จะปวดมากมายเลย เหมือนมีใครในตัวเรากำลังบอกว่า นี่ไม่ใช่ตัวเรา อย่าทำแบบนี้ ประมานนั้นแหละ แต่เราก็ทำ ยิ่งทำก็ยิ่งทำให้อารมณ์โกรธมันปวดหลังเรามากขึ้นจนต้องหยุดทำ อาการแปลกๆแบบนี้ถ้าใครงมงายก็จะบอกว่า จ้าวไม่ให้ทำ คนดูแลไม่ให้ทำเพราะเราเป็นคนเราสูงมาทำแบบนี้ไม่ได้ ต้องมีคนรับใช้ทำให้

แต่สำหรับเรา การเกิดตาย การเวียนว่ายจะมีรึป่าว เราสนใจน้อยเพราะเราถือว่า เราเป็นมนุษย์ธรรมดาคนนึง ที่แค่เป็นมนุษย์นี่ก็จะแย่แล้ว ไม่อยากจะคิดถึงอดีตว่าเป็นอะไรมาก่อน ไม่ยึดติดว่าเราเป็นใครมาก่อน ถึงมันจะจริงหรือไม่จริงก็ตาม ชีวิตปัจจุบันคือสิ่ที่ สามารถทำได้ มองเห็นได้ จับต้องได้ เราก็จะอยู่กับปัจจุบันที่จะยังให้อนาคตเรามีในสิ่งที่ดีงามเพราะเรากักขังตัวเองไว้ในความดีงามเพียงอย่างเดียว พยายามไม่ให้ตัวเองพลาดลงไปอยู่ในความชั่ว เพราะรู้ว่าผลของมันไม่โสภานัก และเราก็ไม่ต้องการให้จิตวิญญาณของตัวเองพลัดตกลงไปในที่อันชั่ว อินชาอัลลอฮ์

หากมนุษย์สามารถเอาแค่ความดีกับความชั่วติดตัวกลับไปได้ เราก็ขอแบกเอาความดีเต็มบ่า ไปดีกว่าลากเอาขยะติดไปด้วย ดูสิ ตอนมนุษย์เกิดมา เอาอะไรในโลกวิญญาณมาไม่ได้เลย ถึงแม้จะมีอะไรมากมายก่ายกองก่อนหน้านี้ก็ตามที หากเคยเป็นเจ้าหญิงมาก่อน แล้วเอาสร้อยทองซักเส้นมาจากที่นั่นได้มั้ย หากเอามาไม่ได้ ก็วางความเป็นเจ้าหญิงนั่นทิ้งไปเถอะ เพราะมันไม่จริง ปล่อยวางเลิกยึดติด เราจะห่างไกลความหลงไปอีกเยอะโขเลย และเช่นเดียวกัน เราก็เอาอะไรจากโลกมนุษย์ไปสู่โลกวิญญาณไม่ได้ สองโลกนี้มีริซกีที่เป็นของโลกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถเข้ากันได้ หากแต่จะมีสิ่งที่เป็นครึ่งๆกลางๆที่สามารถเข้ากันได้ระหว่างสองโลกนี้ ก็คือ เขตรอยต่อหรืออาจเรียกได้ว่า ป่าหิมพานต์ แต่ก็นั่นแหละ

การที่จะได้ใช้อะไรที่เป็นของโลกวิญญาณและมนุษย์ใช้ได้ด้วย ก็ต้องทำตัวเองให้เป็นครึ่งๆกลางๆ คนก็ไม่ใช่ เทวดาก็ไม่เชิง เก้ๆกังๆ หาที่ลงไม่ได้อยู่นั่น ถามว่ามีความสุขมั้ยที่ได้เป็นแบบนั้น มันก็ไม่ชีวิตที่มนุษย์สมควรมีอยู่นั่นแหละ เพราะมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นมะลาอิกะห์ มนุษย์ถูกสร้างมาให้เป็นมนุษย์และมีที่กลับคืนสู่อย่างเป็นหลักแหล่งคือสวรรค์ที่อัลลอฮ์ทรงสร้างให้ ไม่ใช่โลก เพราะโลกคือที่อยู่ของ ญินและสรรพสัตว์ มนุษย์อยู่ในสวรรค์ มารอยู่ในนรก แยกกันอย่างชัดเจนดีแล้ว แล้วจะทำตัวครึ่งๆกลางๆไปทำไม ไม่เข้าใจ ทำไปก็เพราะความอยากลองของแปลก เบื่ออัตภาพความเป็นมนุษย์ ก็เลยพาให้หลงไปใหญ่ เข้ารกเข้าพงไป สวรรค์ของอัลลอฮ์ ห่างไกลจากสิ่งที่พรรณนาได้ ไม่ได้มีแค่ สิบหกชั้นฟ้า สิบห้าชั้นดินให้คล้องจองกันแบบนั้น 

สวรรค์ของอัลลอฮ์ที่สร้างให้มนุษย์มีเป็นพันๆเรา จนนับไม่ได้ ให้รู้เพียงสวรรค์ชั้นสูงที่สุดที่เหล่าบรรดานบี สัตตบุรุษผู้รู้ธรรมอยู่นั้น คือใต้บรรลังค์ของอัลลอฮ์ 

เราเองพยายามรักษาตัวเองไว้ในความดี ก็เพียงปรารถนาให้วิญญาณมีความดีเป็นเพื่อนในชีวิตหลังความตาย.. เพราะเพียงแค่เพื่อนดีกับเพื่อนชั่วเท่านั้นที่เรานำเค้าไปกับเราด้วยได้..

ถ้าเป็นเธอ.. จะเลือกเพื่อนแบบไหนที่จะอยู่ด้วยกันไปชั่วนิจนิรันดร์ล่ะ..ก็เลือกเอง

อินชาอัลลอฮ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น