....หากดูจากการเขียนของเราทั้งหมด สไตล์การเขียนของเราคือการเขียนเพื่อให้คนอื่นอ่าน
นี่ก็เพราะมันเป็นสิ่งปลูกฝังเราให้ทำอะไรได้ดีและตั้งใจต้องทำให้คนอื่นได้เห็น อยากให้คนอื่นพอใจ
เราจำได้..ครั้งนึงสามีของเรา ทำแบบฝึกหัดไอเอลแบบใหม่ และเค้าทำมันได้ดี
และเค้าพูดเหมือนอวดเราว่า เค้าลองแบบใหม่..มันน่ารักมากเลย
กับการที่เค้าพยายามอวดเราในสิ่งที่เค้าทำได้ดี และเราก็เห็นตัวเอง
โอบกอดเค้าอย่างรักใคร่เอ็นดู ด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม เราเชื่อว่าเพียงเท่านี้เอง
จากความรักที่แท้จริงที่ใครคนนึงมีให้อีกคนด้วยความชื่นชมอย่างแท้จริง
เค้าจะทำมันได้ดี และเค้าก็ทำมันได้ดีจริงๆ และที่เราเห็นและรู้สึกสัมผัสได้ถึงสายใยของเราอย่างแท้จริง
คือหลังจากที่เค้าสอบเสร็จ คนแรกที่เค้าต้องการกำลังใจคือเรา เพราะเค้ารู้ว่าเราอยู่ตรงนี้เสมอ
ไม่ว่าเค้าจะได้ผลสอบยังงัย เราจะอยู่ตรงนี้เพื่อบอกเค้าว่า ไม่เป็นไร
มันจะดีที่สุด คนเราจะต้องการอะไรมากไปกว่ากำลังใจที่จริงใจจริงๆ
ไม่เคลือบแคลงไปด้วยสิ่งตอบแทนใดๆ เพียงสายตาและหัวใจที่โอบกอดให้รู้ว่า..รัก
มาทางนี้นิดนึง..มามองดูพื้นฐานส่วนตัวเราเอง เป็นคนที่เอาตัวเองเป็นใหญ่มาก
ข้างในเอาแต่ใจตัวเองมาก แต่ต้องมาทำเพื่อให้คนอื่นพอใจเพื่อที่ตัวเองจะได้พอใจ จนมันกลายเป็นความอัดอั้นและทำลายบุคลิกภาพที่ควรจะสง่างามของเรา
ลาคัตตัลลัลลา
เพราะอะไรก็ตามที่เราไม่ได้ดังใจ เราพร้อมที่จะตัดทิ้งและใช้กำลังในการทำให้มันหายไปด้วยการทำลายหรือไม่ก็ทำร้ายเพื่อให้ได้มา
อย่างหลังนี่ไม่ค่อยได้ใช้เพราะไม่อยากที่จะสู้รบกับใครอีกแล้ว
เพราะอาจเคยใช้มันมามากจนอิ่มตัว ชีวิตนี้ถึงใช้อย่างแรกมากกว่า
จะว่าไปเราก็เจอคู่ปรับตัวจริง น้าติ๋ม..คือคนที่ไม่เคยพอใจกับชีวิตที่ตัวเองมี
ดิ้นรนไขว่คว้าแต่ก้ไม่เคยพอ อิจฉาริษยาคนที่มีมากกว่าเป็นพื้นฐานของจิตใจ
โช๊ะเด๊ะ...คนที่ไม่เคยพอใจและไม่ยอมมีความสุขกับอะไรกับคนที่ปรารถนาให้คนอื่นพอใจแล้วถึงจะมีความสุขมาอยู่ด้วยกัน
อะไรจะเกิดขึ้นถ้าไม่ใช่หายนะของใครคนใดคนหนึ่ง และเราก็เป็นคนยอมเพราะด้วยวัยและประสบการณ์
ต้องยอมเค้า เค้าทำร้ายจิตวิญญาณของเราอย่างเต็มรูปแบบด้วยธรรมชาติพื้นฐานของเค้าโดยไม่ต้องพยายามลงแรงเลยด้วยซ้ำ
เพราะเค้ามาแบบนั้นเป็นธรรมชาติที่จะไม่พอใจกับอะไรเลยที่เราทำ ส่วนเราเองก็พยายามทำทุกอย่างให้เค้าพอใจถึงจะมีความสุข
ผลนะเหรอ...เราก็ถูกทำลายราบคาบนี่ไง พูดติดขัด ไม่มั่นใจในตัวเอง ประหม่า ประสาท ดูเหมือนการที่คนๆนี้เข้ามาในชีวิตเรา เหมือนเค้าถูกสร้างมาเพื่อทำลายความมั่นใจและความสุขของเราโดยเฉพาะ.. เพราะเรามีทุกอย่างที่เค้าไม่มีตอนเด็กๆ ความสุขที่มันสว่างออกมาจากตัวเรา เค้าก็ทำด้วยความแน่ใจว่ามันจะไม่เหลือไว้ให้เราได้ชื่นชมมันเลย ไม่รู้เกลียดอะไรเรานักหนา..เฮ้อ วัยรุ่นเซ็ง..
เพราะการถูกทำร้ายลงไปในจิตใต้สำนึกแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ถึงทำให้เราสัญญากับตัวเองว่า ถ้าเรามีลูกจะไม่มีวันให้ลูกไปอยู่กับคนอื่น ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม หากลูกจะเป็นอะไร ให้เป็นเพราะเรา ไม่ใช่เพราะความไม่สมบูรณ์ของคนอื่น ที่มาทำลายลูกเราแบบที่เราเคยได้รับ
...เราได้มองเห็นตัวเองในแง่ดีอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าตัวเราเองจะโดนยำเละมายังไงในอดีต
เราพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ส่งต่อสิ่งเลวร้ายที่เคยได้รับมาต่อไปให้ผู้อื่น
ตรงกันข้าม เราตระหนักเสมอว่า จะพยายามไม่ทำให้คนรอบข้างเราโดนแบบที่เราโดน
พยายามให้เค้ามั่นใจว่า ทุกคนรอบข้างเรา คนที่ได้มาเจอกัน
จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากเราไป และจดจำกันไว้ในหนทางที่ดีที่สุด เหมือนอย่างที่ให้กำลังใจสามี
ในยามที่เค้าปรารถนาการเอาใจใส่ อยากให้เราชื่นชม เราก็ให้อย่างเต็มอิ่มเลย
อัลฮัมดุลิลลา
อินชาอัลลอฮ์
ทีนี้..มาดูจากการเขียนของเรากันบ้าง ถึงแม้เราเขียนไดอารี่นี้
มันไม่เหมือนไดอารี่เลยนะ เหมือนเรากำลังนั่งสอนใครบางคนมากกว่า
มันดูเหมือนเป็นการเขียนที่จะต้องมีใครมาอ่าน ไม่ใช่การเขียนที่ Satisfy ตัวเองอย่างแท้จริงที่ไดอารี่ควรเป็น
อาจเป็นเพราะด้วยที่เราไม่ให้ความสำคัญของตัวเอง เห็นความสำคัญของตัวเองน้อย เราถึงรู้สึกว่าการเขียนให้ตัวเราเองอ่านจะมีอะไรมากไปกว่าสิ่งไร้สาระ
โดยที่เราไม่คำนึงถึงเบื้องหลังเลยว่า หากเราสามารถมีความสุขกับการคุยกับตัวเองได้
หัวใจเราจะสมบูรณ์แค่ไหน ใครจะเป็นเพื่อนสนิทได้ดีที่สุดเท่ากับตัวเรา
เราคุยกับตัวเองแทบจะตลอดเวลา ถึงแม้จะไม่คุยกับตัวเองแต่ก็พูดกับตัวเอง
หรือพูดให้ตัวเองฟังตลอดเวลาอยู่แล้ว ทำไมคนเราถึงไม่เป็นเพื่อนสนิทกับตัวเองซะเลย
ความสมบูรณ์จะเกิดขึ้นโดยแท้จริงเพราะเราจะได้เข้าใจตัวเอง
ลองมองย้อนดูรอบๆตัวสิ เวลาที่เราจะคบใครบางคน
เราใช้เวลาเพื่อที่จะเรียนรู้เค้านะ ว่าเค้าเป็นคนยังงัย และจะเข้ากับเราทางไหน
หรือเราควรจะปรับตัวเองให้เค้ากับเค้าได้ทางไหนถ้าเราต้องการมีคนในชีวิตเป็นเพื่อนซักคนนึง
แต่เรากลับมองข้ามเพื่อนที่อยู่กับตัวเรามาแต่เกิด คือตัวตนภายในของเราเอง
ไม่ต้องไปหาเพื่อนสนิทที่ไหนที่จะควรที่จะเข้าใจและใส่ใจมากไปกว่าเพื่อนสนิทที่เรียกว่า
เธอในฉัน..และฉันที่เป็นฉัน เรารู้สึกว่า
คนๆนี้แหละที่สำคัญมากที่สุดที่เราควรทำความรู้จักและสนิทสนมกับเค้าไว้
เคยมั้ยที่บางที ตัวเราเองเหมือนแยกเป็นสองคนที่เถียงกันเพื่อหาคำตอบที่ลงตัวที่สุดเมื่อมีเหตุการณ์ที่ต้องการคำตอบที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตเกิดขึ้น
เราจะแยกออกเป็นสองคนโดยอัตโนมัติ ตามธรรมชาติเลย เหตุผลและอารมณ์
ปราศัยหารือกันเพื่อหาความลงตัวและให้คำตอบที่ดีที่สุดกับเหตุการณ์ตรงหน้า
ด้วยเช่นนี้ เราเองถึงควรที่จะทำความรู้จัก เรา..ในเรา ให้เป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจมากกว่าไปหาเอาจากข้างนอก
แล้วเราจะได้เห็นตัวตนที่สมบูรณ์โดยแท้จริงของตัวเอง
อินชาอัลลอฮ์
....เอาล่ะ...มาเริ่มลองเล่นของใหม่กันดีกว่า
การตั้งนาฬิกาทรายในหัวใจแห่งความปรารถนาของตัวเอง ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อน
เคยเห็นนาฬิกาทรายที่พลิกเอาทรายไว้ข้างบนแล้วทรายมันไม่หล่นมั้ย
คำตอบคือ...ไม่มีทาง นอกจากมันจะอยู่ในห้องสูญญากาศ ซึ่งเราไม่อยู่อยู่แล้ว
เรากำลังพูดถึงวิถีชีวิตธรรมดาๆ แบบธรรมชาติที่เราใช้กันอยู่ทุกวันๆ
ทรายย่อมร่วงลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก
นั่นคือสิ่งที่ชัวร์ยิ่งกว่าชัวร์ว่ามันจะเป็นแบบนั้น
พอใจเราวางและเชื่อแบบนี้แล้ว เราก็มาเริ่มขั้นตอนต่อไป
คือวางแผนคัดลอกสิ่งปรารถนาจากนามธรรมในโลกดุนยา มาเป็นรูปธรรมในโลกแห่งจิต
และผลจะส่งสะท้อนกลับไปเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมในดุนยาเพื่อให้เราได้รับ
ประสบการณ์ที่เราเลือกเองนี้
เราเรียกอีกอย่างว่าการสร้างพิมพ์เขียวใหม่ให้แผนที่ชีวิต
เราไม่อาจเขียนแผนที่ของชีวิตโดยละเอียดได้ทั้งหมดเพราะผู้ที่สามารถทำมันได้อย่างสมบูรณ์ไร้ข้อผิดพลาดคือ
อัลลอฮ์แต่เพียงผู้เดียว
อัลลอคารีม
แต่เราสามารถเพิ่มบทเรียนของชีวิตของตัวเองได้นะ อินชาอัลลอฮ์ และมันก็ถูกกำหนดไว้แล้วให้มันเป็น
แต่เราก็ทำใจสบายๆ ว่านี่คือสิ่งที่เราได้เลือกเอง จะได้รู้สึกภูมิใจ
อัลลอฮ์ทรงชื่นชมผู้ถูกสร้างคนดีของพระองค์เสมอ
พระองค์อยู่เคียงข้างเราเสมอแม้ยามไม่สามารถมีใครอยู่ได้
มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่สามารถ
ไม่มีผู้ใดสามารถและเมตตาเรามากไปกว่าพระองค์อีกแล้ว อัลลอฮูเอ๊กแบร์
ก่อนลงมือสร้างพิมพ์เขียว
เราต้องตรึกตรองก่อนว่าเราปรารถนาที่จะมีประสบการณ์กับอะไร
และค่อยร่างมันออกมาบนกระดาษ กระชับมันให้ได้ใจความ และทำความเข้าใจกับมัน ต่อไปก็สร้างภาพแห่งความรู้สึกนั้นขึ้นมาในใจ
ใส่ความรู้สึกเข้าไปว่ามันเกิดขึ้นแล้วเราจะรู้สึกแบบไหน ยังงัย และคำสำคัญ
กุญแจ.. อยู่ที่ .. จงตั้งเวลาและสถานที่ที่ชัดเจนไว้ เช่น ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า เราเดินไปเหยียบหินสีแดงสวยงามถูกใจเรามาก
เราหยิบมันขึ้นมาดู แล้วทุกอย่างมันก็เริ่มขึ้น..อย่างง่ายดาย คือสิ่งแรกที่เราทักทายบทเรียนใหม่นี้
คือรอยยิ้มที่อิ่มอุ่นหัวใจที่สุด เบิกบานที่สุด และเรารู้ว่ามันจะดีสำหรับเราที่สุดด้วย
และจัดการคว่ำนาฬิกาทรายได้เลย แล้วปล่อยให้ทรายมันไหลไป
เราไม่มีวันรู้ว่าขวดทรายมันใหญ่แค่ไหน จะหมดเมื่อไหร่ แต่ที่เรารู้แน่นอนคือ
ทรายมันจะหมดแน่ๆ และเมื่อทรายหมดก็คือจุดที่เราพร้อมจะตื่นมาใช้ชีวิตกับประสบการณ์นั้นทันทีอย่างตื่นตัวและมีความสุข
ส่วนในระหว่างที่รอทรายหมด เราก็จะถูกเตรียมตัว
ปรับปรุงสภาพเพื่อให้เข้ากับสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ กับสิ่งที่เราได้เลือก
อัลลอฮ์ทรงรู้ดีว่าจะเตรียมตัวเรายังงัย
พระองค์ทรงเป็นผู้ตระเตรียมผู้ที่วางใจมอบหมายแด่พระองค์อย่างดีเยี่ยมที่สุด
ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเมื่อชีวิตเราอยู่ในการรังสรรค์ของพระองค์แล้ว
ฮัสบุนัลลอ อัลลอฮูวาลัม
และแล้ว..ก็ถึงเวลาเหยียบ..หินสีแดง..จนได้สิน่า
อินชาอัลลอฮ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น